อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2/2 วันที่ 12 ก.พ. 56

อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2/2 วันที่ 12 ก.พ. 56

อิศรอยู่ที่ห้องพักหมอวิชาญ เห็นมีฟิลม์เอ็กซเรย์สมองของกอหญ้าโชว์อยู่บนแผงไฟ
“ศีรษะคนไข้ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้คนไข้เกิดอาการความจำเสื่อม”
อิศรเสริม “หมายความว่าตอนนี้เธอจำอดีตไม่ได้เลย”
หมอหนักใจ “ก็ทำนองนั้น สมองคนไข้ตอนนี้เหมือนกับกระดาษเปล่าๆ จะรับรู้ก็เฉพาะสิ่งที่มีคนพูดและทำกับเธอในวันนี้เท่านั้นแหละ”

อิศรมีท่าทางหนักใจ
ทางด้านพเยียเองก็มีท่าทางเป็นกังวลมา หล่อนเดินไปเดินมา ผุดลุกผุดนั่งอยู่ในห้อง


“นังกอหญ้าไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ แล้วมันหายไปไหนของมัน แปลว่ามัน ยังไม่ตายเหรอ แต่ถ้ามันยังไม่ตาย แล้วทำไมมันไม่มาที่นี่ ทำไมมันไม่ไปแจ้งตำรวจ”
พเยียคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก กลุ้มใจ
“ตกลงมันตายหรือไม่ตายกันแน่ ถ้ามันไม่ตาย เราจะทำยังไงดี”
พเยียเครียดหนัก มีเสียงเคาะประตูห้อง พเยียหันไปตวาดแว้ด
“ใคร” แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นนภดาราเปิดเข้ามา
“แม่เองจ้ะ” นภดาราเข้ามาในห้อง ปิดประตู “แม่มีเรื่องอยากพูดกับหนู”
พเยียมองนภดาราด้วยความหวาดระแวง
“เรื่องอะไรคะ”
“เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวาน...” นภการาทอดเสียงอ่อนโยน แต่จริงจัง “พเยียมีอะไรอยากจะบอกแม่หรือเปล่าจ๊ะ”
พเยียอึ้ง เสียงสั่นแบบคนมีพิรุธ
“ม..ไม่มีอะไรนี่คะ”
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมหนูจะต้องกลัวลนลานขนาดนั้น”
พเยียใจหล่นวูบ คิดว่าโดนจับได้ หลบตานภดาราไปอีกทาง สมองคิดหาทางเอาตัวรอด
นภดาราเดินเข้ามาทางด้านหลัง พูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
“แม่ผ่านเรื่องร้ายๆ มาเยอะ แม่พอจะเดาได้ อย่าปิดแม่เลยจ้ะ”
พเยียที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองนภดาราผ่านกระจกอย่างชั่งใจ ขณะที่มือค่อยๆ เอื้อมไปหยิบตะไบเล็บมากำไว้แน่น เพื่อใช้เป็นอาวุธ นภดาราเดินเข้ามาหาพเยียจากทางด้านหลัง
พเยียถามเสียงเย็น “คุณแม่คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
นภดาราจับพเยียหันมาเผชิญหน้า พเยียหันมา ซ่อนมือที่กำตะไบเล็บเอาไว้ด้านหลัง
“หนูเป็นคนเดียวที่รอด แต่คนอื่น คนที่หนูรักต้องตายไป โดยที่หนูไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย มันทำให้หนูรู้สึกผิด ใช่ไหม”
พเยียนิ่ง รู้สึกเหมือนเรื่องจะไม่เป็นอย่างที่กลัว
“มันเป็นอุบัตเหตุนะ ลูก แม่ไม่อยากให้หนูเก็บมันเอามาทรมานจิตใจตัวเอง เหมือนที่แม่เคยเป็น”
พเยียมองหน้านภดาราชัดๆ เห็นแต่ความรักท่วมท้น พเยียคลายความกังวลใจลงยิ้มออก
“ค่ะ คุณแม่”
“แม่ไม่อยากหนูจะไม่คิดถึงเรื่องคืนนั้นอีก อยากให้ลูกเลิกหวาดกลัวแล้วมีแต่ความสุข”
พเยียโล่งอกมากขึ้น “ค่ะ... พเยียจะลืมทุกอย่าง พเยียจะมีแต่ความสุข” ยิ้มประจบ “แต่คุณแม่ต้องรักพเยีย ตามใจพเยียมากๆ นะคะ”
“จ้ะ พเยียอยากได้อะไร แม่จะตามใจทุกอย่างทุกอย่างเลยจ้ะ”
พเยียกอดอ้อนนภดารา
“พเยียอยากได้เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า นาฬิกา เครื่องเพชรด้วย คุณแม่ซื้อให้พเยียนะคะ”
นภดาราหัวเราะ สุขใจมาก “ได้เลยจ้ะ ทุกอย่างในโลกนี้ที่เงินซื้อได้ แม่จะซื้อ ให้พเยียทุกอย่างเลยจ้ะ”
สองแม่ลูกกอดกัน พเยียยิ้มร้ายออกมาบอกตัวเองในใจ
“นังกอหญ้า ทุกอย่างที่นี่ ต้องเป็นของฉัน ต่อให้แกไม่ตาย ก็อย่าหวัง ว่าฉันจะคืนให้แก”

ค่ำวันนั้นที่ศาลาวัดแห่งหนึ่ง มีการจัดงานศพปราบ มีคนเดินเข้าออกประปรายบนศาลา นภัสรพีนั่งอยู่ที่โซฟาด้านหน้า อร ภรรยาของปราบส่งถุงกำมะหยี่ที่ใส่ล้อกเก็ตให้ นภัสรพีอย่างนอบน้อม
“ตำรวจพบล็อกเก๊ตอันนี้อยู่ในกระเป๋าเอกสารของคุณปราบค่ะ ดิฉันจำได้ว่าเป็นตราประจำตระกูลของศิวาวงศ์ ก็เลยนำมาคืนให้คุณชาย”
นภัสรพีมองดูล็อกเก๊ต ครุ่นคิดในใจ

“ล้อกเก็ตที่ทำขึ้นใหม่ยังอยู่ที่ปราบ ก็เท่ากับว่า ล้อกเกตของพเยียเป็นของจริง”
เสียงของปราบแว่วเข้ามาในความคิด
“ผมเจอคุณหนูครับ คุณหนูตัวจริง ลูกสาวของคุณนภดาราครับ! คุณหนูมีทั้งล้อกเก็ต มีทั้งแหวนรูปดาว เธอเป็นลูกสาวของคุณนภดาราตัวจริงแน่นอนครับ”
นภัสรพีครุ่นคิด ในใจ
“ปราบเจอลูกสาวของนภดาราแล้วแน่ๆ เขากำลังพาตัวเธอกลับมา เด็กคนนั้นใช่พเยียหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ แล้วจะเป็นใคร”

กอหญ้านั่งอยู่บนเตียงคนไข้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
“โอ้ย ปวดหัว”
อิศรเปิดประตูเข้ามาเจอพอดี รีบเข้ามาดู
“นี่ แอบคิดมากอีกแล้วใช่ไหม .. ฉันบอกแล้วไง ว่าให้หยุดคิดก่อน เธอยังไม่หายดี อย่าเพิ่งสงสัยอะไรนักเลย”
กอหญ้าดื้อดึง “แต่ฉันอยากรู้นี่ ว่าฉันเป็นใคร ทำอะไร อยู่ที่ไหน” ว่าแล้วเอามือทุบหัวตัวเอง“ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ แล้วบ้านฉันล่ะคุณ บ้านฉันอยู่ที่ไหน”
“ก็คิดไม่ออก แล้วจะไปคิดทำไม เธอน่ะเพิ่งจะฟื้นนะ” อิศรแกล้งพูดขำๆ เหมือนเป็นเรื่องเล็ก “สมองมันอาจจะยังไม่เข้าที่ก็ได้ นอนพักก่อนเถอะน่า เดี๋ยวก็คิดออกเองแหละ...นะ”
อิศรประคองให้กอหญ้านอนลง กอหญ้าหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน อิศรเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มๆ มาเป็นคิดหนัก จะทำอย่างไรต่อไปดี

วันต่อมา ที่โรงพยาบาลจักษุที่ทันสมัยที่สุด ภายในโรงพยาบาลดูโอ่โถง ธีมสีในโรงพยาบาลเป็นสีขาวทั้งหมด ตัดกับสีโครเมี่ยมของอุปกรณ์ตกแต่งภายอย่างลงตัว
ภายในห้องพักฟื้นคนไข้ ชิษณุพงศ์ที่ตาทั้งสองข้างปิดไว้เหมือนคนเพิ่งผ่าตัดตา ในห้องปิดม่านเกือบทั้งห้อง ให้แสงเข้ามาได้น้อยที่สุด หมอค่อยๆ แกะผ้าพันแผลออกจากตาชิษณุพงศ์ มีเจ้าแสงโชติ เจ้ามลุลี เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ ลุ้นตื่นเต้นอยู่ข้างๆ หมอกำลังจะแกะผ้าปิดตาชิ้นสุดท้ายออก
“หลับตาไว้สักครู่นึงก่อน อย่าเพิ่งลืมตานะครับคุณชิษณุพงศ์”
ชิษณุพงศ์ตื่นเต้นสุดๆ แต่ยังไม่ลืมตา
“ครับ”
หมอแกะผ้าปิดตาเสร็จ
“เอาละครับ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ลืมตา ช้าๆ นะครับ”
ชิษณุพงศ์ค่อยๆลืมตาช้าๆ แรกๆ เห็นเป็นภาพพร่ามัว ที่ค่อยๆ เริ่มชัดขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย เจ้าแสงโชติ กับเจ้ามลุลีมองหน้ากันแบบลุ้นๆ
“ชิษณุ เป็นไงบ้างลูก” ผู้เป็นพ่อถามในอาการตื่นเต้น
ชิษณุพงศ์เห็นหน้าพ่อแม่อย่างเต็มตาหลังจากที่ตาบอดมานาน ดีใจ ตื้นตันใจจนบอกไม่ถูก
“เจ้าพ่อ เจ้าแม่”
เจ้าแสงโชติ กับเจ้ามลุลีโผเข้ามากอดชิษณุพงศ์
“ชิษณุ เป็นไงบ้างลูก มองเห็นแล้วใช่มั้ย” เจ้ามลุลีถาม
ชิษณุพงศ์พยักหน้า
“เห็น แต่ยังไม่ชัดนักครับ”
“อีกนานไหมครับ หมอ กว่าลูกผมจะมองเห็นเป็นปกติ”
“ซักสองสัปดาห์ครับ ถ้าอยากหายเป็นปกติเร็วๆ ก็ต้องถนอมสายตามากๆ ห้ามดูทีวี ห้ามโดนแดดแรงๆ แล้วก็ระวังอย่าไปจ้องแสงจ้าๆ เด็ดขาด อ้อ แล้วพวกโทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ก็งดไปก่อนซักพักนะครับ”
ชิษณุพงศ์ถามอย่างร้อนใจ “แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะเดินทางได้ครับ คุณหมอ”
มลุลีแปลกใจ รีบถาม “ลูกจะไปไหนเหรอจ๊ะ”
“ผมจะไปเชียงใหม่ครับ ผมอยากไปหากอหญ้า”

หนุ่มผู้เคยพิการทางสายตา บอกบิดามารดาอย่างมุ่งมั่น
ด้านนภดาราเดินยิ้มแจ่มใสเข้ามาในห้องพเยีย ชื่นเดินตามหลังมาด้วย

“จะไปหรือยังจ๊ะลูก”
พเยียแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกหันมายิ้มแย้ม
“ไปซีคะ พเยียอยากได้เสื้อผ้าใหม่ๆ จะแย่แล้ว” พเยียปาทิชชูลงบนโต๊ะ บอกชื่น “เก็บให้ด้วยนะ”
พเยียคล้องแขนนภดาราเดินเชิ่ดออกไป
แม่ชื่นมองไปที่โต๊ะเครื่องแป้งอย่างปลงๆ เห็นตล้บแป้งเปิดอ้า หวี ลิปสติกทิ้งเกลื่อนกลาด แล้วสายตาไปสะดุดที่สร้อยกับล็อกเก็ตของพเยียที่วางกองทิ้งๆ ไว้ที่โต๊ะแต่งตัว ชื่นหยิบขึ้นมาดู

นภาจรีถือสร้อยของพเยียอยู่ในมือ
“ไหนว่าใส่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วทำไมถอดทิ้งไว้”
“บอกตรงๆนะคะ ชื่นรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่ทราบกับคุณพเยีย ท่าทาง การพูดการจา มันดู”หญิงชรานึกหาคำพูด “ไม่น่าจะเป็นลูกของคุณดารา เลยจริงๆ”
นภาจรีตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“ชื่น รีบไปบอกให้วินัยเอารถคันใหญ่ออก ฉันจะไปช้อปปิ้งกับดาราด้วย”

นภดารากับพเยียยืนรอรถอยู่ที่มุขหน้าตึก รถตู้คันใหญ่ของวังศิวาลัยวิ่งเข้ามาจอดเทียบหน้ามุข วินัยคนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูด้านหลัง
นภดาราขำๆ “เอารถคันใหญ่ออกเลยเหรอจ๊ะ” หันมาบอกพเยีย “สงสัยวินัยคงรู้ว่าลูกสาวแม่กะจะไปเหมาของทั้งห้าง”
จังหวะนั้นนภาจรีเดินกรีดกรายยิ้มออกมา พเยียหุบยิ้มทันที เพราะไม่ชอบนภาจรี
“อาจะไปด้วยน่ะจ้ะ ดารา”
นภดาราแปลกใจ ปนดีใจ “เราไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันนานแล้ว วันนี้อาหญิงนึกยังไงคะ”
นภาจรียิ้ม แต่ดวงตาที่มองพเยียเฉียบคม เหมือนมีแผนจะทำอะไรบางอย่าง
“ก็นึกสนุกขึ้นมาน่ะซี .. ไป ขึ้นรถเถอะ จะได้รีบไป”
นภาจรีก้าวขึ้นรถไปก่อน นภดารากับพเยียก้าวตามขึ้นไป รถเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ

ทุกคนอยู่ในรถ พเยียนั่งมองสองข้างทางไปเรื่อยๆ แต่นภดาราเอะใจ
“เอ๊ะ วินัย ทำไมไปทางนี้ล่ะ ฉันจะไปซื้อของนะ”
“อาสั่งเค้าเองแหละจ้ะ”
รถแล่นไปถึงป้ายโรงพยาบาล วินัยเลี้ยวรถเข้าไปในโรงพยาบาล นภดารากับพเยียแปลกใจ
“คุณอาหญิงจะมาโรงพยาบาลทำไมเหรอคะ”
นภาจรียิ้มๆ “อาอยากให้พเยียตรวจร่างกาย”
พเยียปฏิเสธ “ตรวจอะไรคะ พเยียไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย”
นภาจรีจ้องหน้าพเยีย “ฉันอยากให้เธอตรวจดีเอ็นเอ”
พเยียตกใจสุดขีด คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ นภดาราเองก็ตกใจ และไม่เห็นด้วย
“คุณอาหญิงคะ มันไม่จำเป็นเลย”
นภาจรีพูดตรงๆ กับนภดารา “ดารากับลูกน่ะจากกันไปตั้งสิบแปดปีนะ เธอเคยเห็นหน้าลูกครั้งเดียวก็ตอนแบเบาะ เธอจะแน่ใจได้ยังไง อาเลยอยากจะตรวจดีเอ็นเอเสียให้มันเรียบร้อยไป”
รถจอดหน้าตึกผู้ป่วยนอก ของโรงพยาบาล ประตูรถเปิดออก นภาจรีพยักเพยิดให้นภดาราลงไป สองแม่ลูกอึ้งๆ พเยียหน้าเสีย นภดารามองพเยียอย่างไม่สบายใจ เป็นห่วงความรู้สึกพเยีย

นภาจรีก้าวลงจากรถ
“ลงมาซีจ๊ะ”
นภดาราเดินลงมา พเยียจำใจต้องลงตาม นภาจรีจะเดินนำไป พเยียยื้อแขนนภดาราเอาไว้ บอกจริงจัง
“ไม่นะคะ คุณแม่ พเยียไม่ไป”
นภาจรีหันขวับมา
“อะไรนะ”
พเยียฮึดสู้ ปฏิเสธขาแข็ง “พเยียบอกว่าไม่ พเยียไม่ตรวจอะไรทั้งนั้น ไม่!”
นภาจรีฉุน “นี่ เธอ”
นภดาราส่งเสียงขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่จริงจัง
“ตามใจพเยียเถอะค่ะ คุณอาหญิง เราไม่จำเป็นต้องตรวจอะไรทั้งนั้นหลานมั่นใจว่าพเยียเป็นลูกของหลาน หลานจะไม่บังคับให้แกตรวจดีเอ็นเอ ถ้าแกไม่ต้องการ”
นภาจรีไม่พอใจนัก “ก็แล้วทำไมจะต้องให้บังคับกัน ถ้าหากเธอสองคนมั่นใจ ว่าเป็นแม่เป็นลูกกัน” นภาจรีมองหน้าพเยีย “แล้วเธอจะกลัวอะไร”
นภดาราปราดเข้าขวาง ปกป้องพเยียเต็มที่
“หลานไม่ได้กลัวค่ะ แต่ที่ผ่านมา พเยียเจ็บช้ำมามาก ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ถูกแม่ของตัวเองทอดทิ้ง แล้วเรายังจะมาตั้งแง่ สงสัยแกว่าไม่ใช่ลูกของหลานอีกเหรอคะ”
นภาจรีเห็นคนที่ผ่านไปมาเริ่มมอง ชักไม่พอใจ ลดเสียงลง ดุๆ
“อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ไหม ดารา”
นภดาราย้ำคำหนักแน่น แต่เสียงสุภาพ “คุณอาหญิงต่างหากล่ะค่ะ ที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ใครจะครหานินทาก็ช่างปะไร หลานมั่นใจ ว่าพเยียคือลูกของหลาน
“แต่พเยียก็เป็นทายาทของศิวาวงศ์ด้วย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แทนที่จะคอยปกป้องลูก จากเสียงซุบซิบนินทา ทำไมเธอไม่พิสูจน์ให้มันชัดเจนไป เพื่อที่ลูกสาวของเธอจะได้เป็นพเยีย ศิวาวงศ์ ได้อย่างสง่างาม”
นภดาราอึ้งไป ได้คิดว่านภาจรีก็มีเหตุผล
นภาจรีสำทับ “กะอีแค่ตรวจเลือดเท่านั้น มันไม่ง่ายกว่าห้ามคนนินทาลูกสาวเธอหรือ นภดารา”
นภดารานิ่ง ท่าทางเห็นด้วย พเยียเห็นแล้ว ตกใจ โวยวายยทันที
“ไม่นะคะคุณแม่ พเยียไม่ตรวจ คุณยายเล็กทำแบบนี้ เท่ากับรังเกียจ พเยีย หาเรื่องพเยีย”
“ไม่ใช่นะลูก คุณยายเล็กหวังดี”
พเยียสวนขึ้นมา “ไม่! พเยียไม่ตรวจ ไม่”
พเยียจะวิ่งหนี นภดาราคว้ามือไว้
“พเยียจะไปไหน ฟังแม่ก่อน”
“ไม่!”
พเยียสะบัดแขนอย่างแรง จนนภดาราเซล้ม พเยียวิ่งออกไปไม่เหลียวหลัง
“พเยีย ลูกจะไปไหน พเยีย”
นภดาราลุกขึ้น จะตาม แล้ววิงเวียนซวนเซไปอีก

นภาจรีเข้าไปประคองนภดาราอย่างเป็นห่วง และเหลียวมองไปยังพเยียทีวิ่งหนีลับตาไปอย่างสงสัยสุดๆ
ขณะเดียวกันที่ออฟฟิศของอิศร ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่

ตรงทางเดินในบริษัทเย็นนั้น สุบรรณ ชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดีขี้เล่น เดินนำพนักงานที่หอบถุงช้อปปิ้งขนาดใหญ่จากห้างหรู จำนวนเกือบ 50 ถุง เดินตามหลังมาเป็นขบวน ผู้คนมองตามกันใหญ่สายตาฉงน
จนมาถึงหน้าห้องทำงานอิศร สุบรรณเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไป
“ของที่สั่งมาแล้วคร้าบบบบ คุณอิศร”
อิศรรีบออกมาดู เห็นของเรียงรายเต็มทางเดิน
“ครบทุกอย่างตามที่สั่งใช่ไหม สุบรรณ”
สุบรรณเอารายการขึ้นมาดู “เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ชุดชั้นใน สบู่ ยาสีฟัน เครื่องสำอาง น้ำหอม ต่างหู สร้อย นาฬิกา ชุดราตรี ชุดกีฬา ชุดนอน ครบตามที่สั่งครับ”
อิศรยิ้ม พอใจ “ดีมาก แกเอาไปไว้ที่บ้านฉัน เอาไปให้พรนะ ฉันสั่งเค้าไว้แล้ว ว่าจะต้องทำยังไงต่อ”
“ผมเดินซื้อของให้คุณอิศรจนขาลาก ใจคอจะไม่บอกผมซักคำเหรอครับว่าของพวกเนี้ย คุณอิศรจะเอาไปให้สาวที่ไหน”

ซึ่งพอสุบรรณฟังจบก็ตกใจมาก
“พระเจ้าช่วย กล้วยทอดด้วย เอางั้นเลยเหรอครับ แน่ใจนะครับคุณอิศร”
“แน่ใจสิวะ ทำไม แกมีปัญหาอะไร”
“ผมน่ะไม่มีหรอกครับ แต่คุณอิศรอ่ะ มีแน่ๆ ถ้าเกิดเค้ารู้ความจริงขึ้นมาโดนหลายข้อหาเลยนะครับ ทั้งหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ขาดอิสรภาพ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง”
อิศรเบรกทันที “นี่ หยุดเลย หยุดพล่ามได้แล้ว ทำเป็นรู้มาก จบกฎหมายมาหรือไง”
สุบรรณงอน “เตือนดีๆ ก็ว่า ถ้าเกิดเรื่องอะไร อย่ามาหาว่าสุบรรณไม่เตือนนะครับ”
“ฉันรู้น่าว่าทำอะไรอยู่ แกน่ะไปได้แล้ว เอาของไปเก็บที่บ้านฉันด้วย”
“แล้วถ้าใครต่อใครถาม ว่าเสื้อผ้าข้าวของพวกนี้มันของใคร คุณอิศรจะให้ผมตอบว่ายังไงครับ”
อิศรอึ้ง นิ่งคิดตาม

ตกคืนนั้น ในห้องพักฟื้นของกอหญ้า อิศรเดินเข้ามาตรงหน้ากอหญ้าบอกชัดคำ
“เราเป็นแฟนกัน”
เห็นกอหญ้านิ่งฟัง หน้าตาไม่เชื่อที่อิศรพูด
“จริ๊ง เรากำลังจะหมั้นกันด้วย”
หน้ากอหญ้ายิ่งไม่เชื่อมากขึ้น

อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 2/2 วันที่ 12 ก.พ. 56

ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทประพันธ์ : ไอริณ
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทโทรทัศน์ : ทีมเอ็กแซ็กท์
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย กำกับการแสดง : สันต์ ศรีแก้วหล่อ, วรวิทย์ ขัตติยโยธิน
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย แนวละคร : เมโลดราม่า - โรแมนติก
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย ออกอากาศทุกคืนวันพุธ-พฤหัส 20.10 - 21.40 น. ทาง ททบ. 5
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ที่มา manager.co.th