อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1 วันที่ 8 ก.พ. 56

อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1 วันที่ 8 ก.พ. 56

“โรงพยาบาลแม่ออน ปี พ.ศ. 2536”

ช่วงเวลาตอนกลางคืนของวันนั้น เสียงฝนฟ้าคะนอง ลมพายุโหมพัดกระหน่ำอย่างเกรี้ยวกราด จู่ๆ สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงที่หม้อแปลงไฟฟ้าที่โรงพยาบาลแม่ออน โรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบทของเชียงใหม่ ตอนกลางคืน ไฟดับพรึ่บ
พริบตานั้นเปลวไฟกำลังโหมไหม้โรงพยาบาล เห็นแสงไฟ ควันโขมง เกิดความวุ่นวายในการเคลื่อนย้ายคนไข้ออก มาจากอาคารโรงพยาบาล คนไข้อื่นๆ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงวิ่งวุ่น

สักครู่หนึ่งเห็นพยาบาลช่วยกันเข็นเตียงคนไข้มาตามทางเดิน บ้างประคองคนไข้ออกจากตัวอาคาร หญิงสาวชื่อ นภดารา (นบ-พะ-ดา-รา) อยู่ในชุดคนไข้ ท่าทางตื่นตกใจ พยายามเดินมาอย่างทุลักทุเลฝ่าความวุ่นวายจะไปที่แผนกเด็กอ่อน พยาบาลคนหนึ่งรีบเข้ามาดึงไว้
“จะไปไหนคะ คุณ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วนะคะ”



นภดาราบอกละล่ำละลัก “ลูกฉันค่ะ ลูกฉันอยู่ที่ห้องเด็กอ่อน ฉันจะไปหาลูก”
“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ เราย้ายเด็กอ่อนออกไปเรียบร้อยแล้ว รีบไปก่อนเถอะค่ะ ไฟไหม้ลามใหญ่แล้ว”
นภดาราพยายามขืนตัว ดิ้นรนจะไปที่ห้องเด็กอ่อนให้ได้ พยาบาลรั้งตัวไว้
“แต่ลูกดิฉัน...”
พยาบาลท่าทีร้อนรนมากขึ้น “ไปเถอะนะคะ ไม่ต้องห่วงเด็กๆ ค่ะ ทุกคนปลอดภัย เราช่วยออกมาหมดแล้ว”
พยาบาลรีบพาตัวนภดาราออกไป

ที่อีกมุมหนึ่ง ด้านนอกตึก เห็นนางพยาบาลและเจ้าหน้าที่ช่วยกันเข็นเปลเด็กอ่อนมาเต็มไปหมด ในความสับสนวุ่นวาย เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข็นเปลเด็กเข้ามาใหม่ 1 เปล แล้วรีบผละไป เปลนั้นไปกระแทกเปลที่อยู่ริมสุดอันหนึ่งให้เลื่อนออก
เปลแบบที่มีล้อเลื่อนนั้นขยับ ไหลลงไปตามทางที่ราบ ทารกน้อยในเปลนอนตาแป๋ว ไม่รู้เรื่องร้าย ที่คอของทารกคนนั้นมีสร้อยห้อยล็อกเก็ตกับแหวนของนภดาราห้อยอยู่
เปลนั้นเลื่อนไหลห่างออกไป ไปจนสุดขอบสนาม และไปติดอยู่ที่คันปูนเตี้ยๆ เบื้องล่างคือแม่น้ำ รถเข็นเปลคันนั้นเอียงโยกเยกๆ ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หล่นลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“วังศิวาลัย ปัจจุบัน”
ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังโหยหวนขึ้นมาจากห้องนอนของหม่อมหลวงนภดารา ศิวาวงศ์
“ไม่...ไม่...”
วังศิวาลัย เป็นตัวอาคารรูปทรงยุโรป หรูหราสง่างาม ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณอันกว้างขวาง ร่มรื่น
ที่หน้าต่างที่เปิดอยู่ มีม่านสีขาวปลิวไสว อันเป็นที่มาของเสียง ในห้องนอนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ราวกับห้องของเจ้าหญิงในนิทาน หม่อมหลวง นภดารา (อ่านว่า นบ-พะ-ดา-รา) สวมชุดเสื้อคลุมอยู่กับบ้านสวยงาม กำลังกรีดร้องอยู่บนเตียง สองมือไขว่คว้า
“ไม่ อย่า อย่า อย่าไป ยัยหนู ยัยหนูลูกแม่”
แม่ชื่นแม่บ้านหญิงชราในชุดซิ่นผ้าไหมสีเข้มเปิดประตู วิ่งเข้ามาประคองไว้
“คุณดาราคะ คุณดารา”
นภดาราสะดุ้งตื่น น้ำตาไหลอาบหน้า โผเข้ากอดแม่ชื่น
“แม่ชื่น ฉันฝันเห็นยัยหนูอีกแล้ว”
หญิงชราได้แต่ถอนใจ พูดไม่ออก
นภดาราครวญคร่ำ “ฉันฝันเห็นแก แกร้องไห้ด้วย หรือว่าแกจะเป็นอะไร หรือว่าแกอาจจะ...” ท่าทีนภดาราเปลี่ยนเป็นเครียด หวาดกลัวขณะพูดประโยคต่อมา “หรือว่าวิญญาณของแกกลับมาหาฉัน”
ชื่นปลอบใจ “มันเป็นแค่ความฝันนะคะ คุณดารา ไม่มีอะไร”
“แล้วยัยหนูอยู่ไหน 18 ปีแล้ว เรายังหาแกไม่เจอ ไม่แน่ว่าแกอาจจะตายแล้วก็ได้…ยัยหนู ยัยหนูลูกแม่”
นภดาราเกิดอาการเครียด มือเท้าเกร็งและหอบหายใจถี่กระชั้น เหมือนคนใกล้จะตาย
“คุณขา” ชื่นตกใจที่เห็นนภดาราชัก “ว้าย คุณดารา”
ชื่นเข้าไปประคอง พลางร้องตะโกน
“ใครอยู่ข้างนอกบ้าง โทรตามหมอเดี๋ยวนี้ คุณดาราอาการกำเริบอีกแล้ว”
**หมายเหตุ - หม่อมหลวงใช้คำนำหน้าว่า “คุณ”

รถโรลส์รอยซ์คันใหญ่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง แล้วไปจอดลงที่ด้านหน้าตึกใหญ่ คนขับรถรีบลงมาจะเปิดประตู แต่ไม่ทัน หม่อมราชวงศ์นภัสรพี ศิวาวงศ์ ในชุดสูทเป็นทางการ เปิดประตูลงมาอย่างร้อนใจ เดินเร็วๆ เข้าไปในบ้าน เห็นแม่ชื่นกระวนกระวายรออยู่
“แม่ชื่น นภดาราเป็นยังไงบ้าง” คุณชายนภัสรพีประมุขแห่งวังศิวาลัยถาม
“ปลอดภัยแล้วค่ะ คุณชาย ตอนนี้อยู่กับคุณหญิงนภาในห้อง”

นภัสรพีรีบเดินขึ้นชั้นบนไป ร้อนใจ แต่ยังมีมาด ไม่ลนลาน

นภดารานอนแบบอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาว่างเปล่ายังมีน้ำตาคลอเล็กน้อย ลมหายใจรวยริน อ่อนแรงเหมือนคนกำลังจะสิ้นใจ หม่อมราชวงศ์หญิงนภาจรี อาหญิงของเธอนั่งอยู่บนเตียง ดูอาการอย่างห่วงใย
นภาจรีพึมพำเบาๆ น้ำตาคลอ “หลานดารา เวรกรรมอะไรอย่างนี้”
นภัสรพีทรุดลงนั่งที่ข้างเตียง
“ดารา เป็นยังไงบ้างลูก”
นภาจรีบอกหน้า “โรคเก่าน่ะค่ะ พี่ชาย คิดมากแล้วก็เลยเครียด คุณหมอให้ยาระงับประสาทแล้ว เดี๋ยวคงดีขึ้น”
นภัสรพีมองนภดาราอย่างเวทนา นภดาราจับมือนภัสรพีเอาไว้พูดเสียงเศร้า
“คุณพ่อขา ลูกทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว มันทรมานเหลือเกิน ลูกอยากตาย”
นภดาราน้ำตาไหลรินออกมา แล้วตาก็ปิดตาลง หมดสติไปอีก นภัสรพีลูบศีรษะธิดาคนเดียวด้วยความสงสารและเวทนา
“พ่อขอโทษนะ ดารา ที่ลูกต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นความผิดของพ่อเอง”

นภัสรพีหน้าเศร้า ตกอยู่ในภวังค์เหตุการณ์ร้ายที่ยากจะลืมเลือนผุดขึ้นมาหลอกหลอน

เมื่อ 19 ปีก่อน ในปีพ.ศ. 2536 เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นในวังศิวาลัย วันนั้นนภาจรีนั่งโอบนภดาราอยู่ที่เก้าอี้ นภดาราร้องไห้ตลอดเวลา ดูเป็นทุกข์ระคนกับหวาดกลัว นภัสรพีโกรธจัด

“แล้วนี่จะทำยังไงต่อไป เสียแรงเป็นลูกชาติลูกตระกูล ทำอะไรไม่รู้จักยั้งคิดปล่อยให้ตัวเองท้องไม่มีพ่อ ใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
นภาจรีปราม “ค่อยพูดค่อยจากันเถอะค่ะ พี่ชาย ในเมื่อมันพลาดไปแล้ว เราน่าจะมาช่วยกันแก้ปัญหา”
นภัสรพีมองตาเขียว นภาจรีหงอ
“แก้ยังไง ถ้าไอ้เจ้ากานต์มันยังอยู่ พี่ยังจะยอมทำใจยกลูกสาวคนเดียวให้เด็กในบ้าน แต่นี่มันก็มาชิงรถคว่ำตายไปซะก่อน แล้วเธอจะให้พี่ทำยังไง”
นภาจรีอึ้ง ไม่มีคำตอบ
“ลูกคิดดูแล้ว ลูกจะไปจากที่นี่ ไม่ทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลต้องเสียหาย” นภดาราเอ่ยขึ้น
นภัสรพีเมินหน้าไป นภดาราก้มลงกราบ
นภาจรีท้วง “พี่ชายคะ”
นภัสรพีอดไม่ได้ หันมาพูดอย่างเย็นชา
“หญิงนภา เธอพาดาราไปอยู่เงียบๆ ที่เชียงใหม่ก่อน คลอดแล้วจะเอายังไงก็ว่ากันอีกที”

สองคนอยู่ในห้องทำงานนภัสรพีที่วังศิวาลัย คุณชายนภัสรพีดึงตัวเองกลับมา ถอนใจเฮือกใหญ่ ขณะเอ่ยกับผู้เป็นน้องสาว
“ถ้าพี่ไม่ขับไสไล่ส่งลูกไป คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้”
“คงเป็นเวรเป็นกรรมน่ะค่ะ ใครจะนึกว่าโรงพยาบาลจะไฟไหม้ แล้วใครจะนึก ว่ายัยหนูจะหายไป สงสารก็แต่หลานดารา 18 ปีที่ผ่านมาแกก็อยู่เหมือนซากที่หายใจได้ไปวันๆ อาการก็ทรุดหนักลงทุกทีๆ”
“นภดาราเป็นลูกสาวคนเดียวของพี่ พี่ไม่ยอมให้ลูกเป็นอะไรไปแน่…เราต้องหาเด็กคนนั้นให้เจอ มันต้องมีวิธี”
นภัสรพีพูดด้วยท่าทีจริงจัง ดวงตามุ่งมั่น เหมือนคนที่มีแผนอยู่ในใจแล้ว

หลายวันต่อมา สำนักงานทนายความและนักสืบ ปราบ รักสันติ
ในห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างเคร่งขรึม หรูหราแต่ล้าสมัย ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์เทคโนโลยี สิ่งที่ทันสมัยที่สุดคือโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่แบบโบราณ ที่ผนังมีตู้ที่มีหนังสือและตำรากฏหมายเรียงอยู่แน่นขนัด ปราบ รักสันติ ทนายความวัยเดียวกับนภัสรพี พูดอย่างนอบน้อม
“คุณชายก็ทราบดี ว่าไว้ใจกระผมได้ทุกอย่าง”
“ฉันรู้ ปราบ เรื่องนี้มันสำคัญ แล้วก็ละเอียดอ่อนมาก ฉันถึงขอร้องให้ปราบทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
นภัสรพีหยิบถุงกำมะหยี่เล็กๆ ออกมา เทของที่อยู่ด้านในลงบนโต๊ะตรงหน้าปราบ มันคือสร้อยทองเส้นเล็กๆ ที่มีล็อกเก็ตรูปไข่สีทอง ลงยาเป็นตราประจำตระกูลศิวาวงศ์
“ในวันก่อนที่เด็กคนนั้นจะหายไป นภดาราบอกว่า เธอได้สวมสร้อยที่มีล็อกเก็ตประจำตระกูลไว้ที่คอของเด็กคนนั้น พร้อมกับแหวนวงเล็กๆ ที่มีเพชรรูปดาว”
ปราบมองดูล็อกเก็ตกับสร้อย ยังไม่เข้าใจ “แล้วนี่”
“ฉันให้คนทำขึ้นมาใหม่” คุณชายสั่งปราบ “ฉันต้องการให้เธอเอาล็อกเก็ต ที่ฉันทำขึ้นมาใหม่นี้ ขึ้นไปที่เชียงใหม่ ไปหาเด็กผู้หญิงกำพร้ามาซักคน เลือกเอาคนที่นิสัยใจคอไว้ใจได้ แล้วพากลับลงมา ในฐานะ ลูกสาวของนภดารา!”
ปราบได้ฟังก็ตกใจ
“คุณชายครับ แต่ว่า…เด็กกำพร้าคนนั้น จะกลายเป็นหลานของคุณชายเป็นทายาทผู้สืบทอดราชสกุลศิวาวงศ์ .. มันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอครับ”
“เรื่องนั้นฉันหาทางออกเอาไว้แล้ว ปราบไม่ต้องห่วง”
ปราบพยักหน้ารับ คว้าสร้อยกับล็อกเก็ตขึ้นมา แล้วนึกได้
“คุณชายให้ผมมาแต่สร้อยกับล็อกเก็ต แล้วแหวนรูปดาวล่ะครับ”
“แหวนวงนั้นเป็นของที่…” เหมือนคุณชายไม่อยากเอ่ยถึง “…พ่อของเด็ก ให้ไว้กับนภดาราฉันไม่เคยเห็น แหวนวงเล็กนิดเดียว เราอ้างว่าหายไปก็ได้ ถ้าเด็กนั่นเป็นเด็กดี ทำให้นภดาราเชื่อได้ว่านั่นคือลูกที่หายไปของเธอ แค่แหวนวงเดียว คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก รีบไปหาเด็กคนนั้นให้เจอดีกว่า”

ตอนเช้าแสนสดใส โบสถ์แห่งนั้นเด่นสวย ตั้งตระหง่านอยู่บนเชิงเขา เช้านี้ยินเสียงเพลงประสานเสียงดังลอยลมออกมาพร้อมเสียงเปียโน
ภายในโบสถ์มือเรียวพรมนิ้วลงบนคีย์อย่างชำนาญ ที่นิ้วมีแหวนรูปดาวสวมอยู่ ใบหน้าสดใสของกอหญ้า ที่กำลังดีดเปียโนอย่างแผ่งพริ้ว ตรงคอสวมสร้อยมีล็อกเก็ต เหมือนของนภัสรพี ใบหน้าสวยงามนั้นเปล่งประกายแห่งความสุข และความดีงามอย่างเห็นได้ชัด
ห่างออกไปมีเด็กหญิงวัยตั้งแต่ 6-12 ปี ประมาณ 10 คนในชุดยูนิฟอร์มเรียบร้อย ยืนร้องเพลงประสานเสียงอยู่ พอถึงท่อนท้าย คอรัสลดเสียงลง กอหญ้าร้องเดี่ยวด้วยเสียงสดใสไพเราะ จนจบ
คุณแม่วันเพ็ญ แม่ชีอายุประมาณ 4 5 ปี ยืนคุมอยู่ ปรบมือกราว
“ดีมากจ้ะ กอหญ้า” วันเพ็ญหันไปบอกกับเด็กๆ “พวกเธอทุกคน ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“กอหญ้ากับน้องๆ ตั้งใจซ้อมเต็มที่เลยค่ะ ตั้งแต่คุณแม่บอกว่าท่านเจ้าของที่ดินจะมาเยี่ยมพวกเราที่นี่ กอหญ้าอยากให้ท่านประทับใจ” กอหญ้าว่า
“ดีจ้ะ ครอบครัวของท่านให้ทางโบสถ์เช่าที่ดิน ทำสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามาหลายสิบปี ฉันอยากให้ท่านเห็นว่า ความเมตตาของท่านช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กๆ อย่างพวกเธอได้มากขนาดไหน”
คุณแม่ยุพา แม่ชีอาวุโสที่เลี้ยงกอหญ้ามา วัยราว 50 ปี เดินเข้ามา หน้าตาอ่อนอกอ่อนใจ
“กอหญ้า ซ้อมเสร็จแล้วใช่ไหมจ๊ะ”
“ค่ะ คุณแม่ยุพามีอะไรเหรอคะ”
“ก็พ่อชิษณุพงษ์น่ะซี อาละวาดใส่ลุงเติมอีกแล้ว” ยุพาว่า
กอหญ้า กึ่งขำ กึ่งหมั่นไส้ขณะพูด “อีกแล้วเหรอคะ”

ที่หน้าเรือนพักของชิษณุพงษ์ ยามที่ชิษณุพงษ์ไม่ได้ใส่แว่น ดูท่าทางเหมือนคนปกติ ไม่มีใครรู้ว่าเขาตาบอด
และในเวลานี้ชายหนุ่มกำลังโมโหอาละวาดขว้างข้าวของใส่ลุงเติม พี่เลี้ยงของชิษณุพงษ์ ลุงเติมหลบพัลวัน
“ไปตามกอหญ้ามาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ได้ยินมั้ย”
“โอ้ยๆ หยุดเถอะครับคุณชิษณุ หนูกอหญ้าทำงานที่โบสถ์เสร็จ เค้าก็มาเองล่ะครับ”
“แต่ฉันอยากเจอเค้าเดี๋ยวนี้! ถ้าลุงไม่ไปตามกอหญ้ามา ฉันก็จะไปหากอหญ้าเอง”
ว่าพลางชิษณุพงษ์ลุกขึ้นเดินเปะปะไป ลุงเติมจะห้าม แต่ไม่ทัน ชิษณุพงษ์สะดุด แล้วเซจะล้ม
กอหญ้าที่เข้ามาพอดี รับเอาไว้ ทั้งคู่เลยล้มไปด้วยกัน
กอหญ้าร้อง “โอ๊ย”
ชิษณุพงษ์จำเสียงได้ยิ้มดีใจ “กอหญ้า”
กอหญ้า ลุกขึ้นนั่ง กึ่งโกรธกึ่งขำ “ชิษณุพงษ์ คนบ้า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ”
ชิษณุพงษ์ย้อนขำๆ “กอหญ้า ยัยบ๊อง เธอพูดอย่างงี้กับคนตาบอดได้ยังไง ใจร้ายชะมัดเลย”

กอหญ้าแลบลิ้น รู้สึกผิด มองชิษณุพงษ์ด้วยความเห็นใจ
ไม่นานนักกอหญ้าขี่จักรยานให้ชิษณุพงษ์ซ้อน ขับขี่ไปตามถนนสายหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม สองคนหน้าตาสดชื่น รับลมเย็น ในมือชิษณุพงษ์มีตะกร้าใส่ของกินสำหรับปิกนิก

กอหญ้า แกล้งบ่นเล่นๆ “เอาแต่ใจแบบนี้ มิน่าเล่า ใครถึงทนเธอไม่ไหว”
ชิษณุพงษ์เหวี่ยงใส่ทันที “ก็ไม่ต้องมาทน ฉันไม่เห็นอยากเจอใคร นอกจากเธอ”
“นี่ ฉันเป็นเด็กกำพร้านะ คุณแม่ที่โบสถ์เลี้ยงฉันมา ฉันต้องช่วยงานในโบสถ์เพื่อเป็นการตอบแทน จะมาดูแลเธออยู่ทั้งวันไม่ได้ เข้าใจป่ะ”
ชิษณุพงษ์ตอบกวน “ไม่เข้าใจ”
“อะไร แค่นี้ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ และไม่เข้าใจ” ชิษณุพงษ์ว่า
กอหญ้าหมั่นไส้หันมาตีตัว ชิษณุพงษ์หัวเราะ ตอบโต้ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น นั่นเลยทำให้จักรยานโย้เย้ไปมา ทันใดนั้นมีเสียงแตรรถยนต์ไล่หลังมา ทั้งคู่ตกใจ จักรยานยิ่งเสียหลัก
กอหญ้าร้อง “ว๊าย”
ชิษณุพงษ์ตกใจ “กอหญ้า”
จักรยานเสียหลักวิ่งทุลักทุเลลงข้างทาง กระติกน้ำและของปิคนิคในตะกร้าร่อนกระจาย ส่วนที่ด้านหลัง รถสปอร์ตเบรกกึก ขณะที่กอหญ้ากับชิษณุพงษ์กระเด็นหล่นไปคนละทิศละทาง
ประตูรถสปอร์ตด้านคนขับถูกผลักพรวดเปิดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว อิศร ก้าวลงมา หน้าตาบอกชัดว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์สุดๆ และกำลังอารมณ์บูดสุดๆ ด้วย อิศรพรวดลงไปจากรถ
“ขี่รถยังไงวะ”
กอหญ้าลุกพรวดจากพุ่มไม้ ตะกายพรวดๆ ไปทางถนน หน้าตาโมโหจัด
“ขับรถยังไงวะ”
ชิษณุพงษ์เป็นห่วง “กอหญ้า”
“รออยู่นี่ก่อนนะชิษณุ ฉันจะไปจัดการอะไรหน่อย” กอหญ้าเดินพรวดไป หันมากำชับอย่างเป็นห่วง “อย่าไปไหนนะ”
ชิษณุพงษ์รับคำ “ฮื่อ”

ริมถนน ห่างจากที่รถล้ม อิศรพรวดเข้ามา ตามด้วยหน้ากอหญ้าพรวดเข้ามาอีกด้าน อิศรชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่าเป็นผู้หญิงสวยสุดๆ กอหญ้าฉะไม่ยั้ง ยียวนกวนประสาทด้วยกันทั้งคู่
“ขับรถยังไงไม่ระวังคน”
“อ้าว แล้วเธอล่ะ ขี่จักรยานยังไงไม่ดูรถ นึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของถนนรึไง ระวังจะตายเป็นศพไม่มีญาติอยู่ข้างถนนหรอก” อิศรสวน
“โอ้โห ลูกผู้ชายประสาอะไรเนี่ย ตัวเองผิดเห็นๆ ยังจะมีหน้ามาด่าคนอื่น”
“ฉันผิดตรงไหน ตัวเธอน่ะแหละ ขี่จักรยานก๋าทำท่าเป็นเจ้าของถนน ฉันไม่ทับให้แบนติดถนนก็ดีเท่าไหร่แล้ว” อิศรต่อว่า
กอหญ้า สุดจะทน ด่าไม่ยั้ง “ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้ซาดิสต์ นี่คิดจะโยนความผิดให้ฉันใช่มั้ย ฝันไปเถอะถึงฉันจะเป็นคนบ้านนอก แต่ก็ไม่ได้โง่นะ คุณน่ะแหละผิด”
อิศรยิ้มเยาะ ทำหน้ารู้ทัน
“ฉันก็นึกอยู่แล้ว ขับรถเก๋งยังไงก็เสียเปรียบ เอาเป็นว่าฉันรับผิดชอบไปเลยก็แล้วกัน จะได้จบๆไป เอาเท่าไหร่ว่ามา ฉันจะรีบไป”
กอหญ้าของขึ้น โกรธปรี๊ด “คนหน้าเงิน เอะอะก็จะเอาเงินฟาดหัว ที่รับน่ะจำนนด้วยหลักฐานน่ะสิ ไม่ใช่เพราะเป็นสุภาพบุรุษหรอก จะบอกให้นะ ถ้าฉันเรียกค่าเสียหายขึ้นมาจริงๆ กลัวจะไม่มีจ่ายน่ะซี้”
อิศรมองกอหญ้าอย่างทึ่ง สนุกในการต่อปากต่อคำด้วยอย่างมาก
“นี่ นึกแล้วไม่มีผิด ว่าแต่คนอื่นหน้าเงิน ที่แท้ตัวเองน่ะแหละ หน้าเงินตัวจริงฉันรู้แล้ว เธอวางแผนทำเป็นรถล้ม จะได้สร้างฉากเรียกเงินใช่มะ”
“ฮึ้ยย์...ปากชั่ว”
กอหญ้าเหลียวหา เจอก้อนหินขนาดเหมาะมือ หยิบมาเงื้อ
อิศรยิ่งยั่ว “เอาสิ ถ้าขว้างล่ะก็ ฉันปล้ำแน่”
เสียงชิษณุพงษ์ดังขึ้น “กอหญ้า”
กอหญ้ากับอิศรหันไปมอง แล้วกอหญ้ารีบวิ่งไปตามเสียง ไม่สนใจอิศรอีกต่อไป

ตรงบริเวณที่จักรยานล้ม ชิษณุพงษ์เดินสะเปะสะปะ ชนต้นไม้ ล้มลง กอหญ้าถลาเข้าไปหา อิศรตามมา ชะงัก เมื่อเห็นอาการของชิษณุพงษ์ รู้สึกผิดที่ขับรถชนคนตาบอด กอหญ้าประคองชิษณุพงษ์ให้ลุกขึ้นยืน ปัดเศษผงให้อย่างอ่อนโยนและอาทร
“กอหญ้า หายไปไหน นานจัง” ชิษณุพงษ์ถาม
“ก็ไปจัดการเรื่องรถล้มไง”
อิศรเดินเข้ามาใกล้ แอบลอบมองการกระทำของกอหญ้าอย่างชื่นชม สีหน้าอ่อนลง
ชิษณุพงษ์ได้ยินเสียงฝีเท้าอิศร “ใครน่ะ กอหญ้า”
กอหญ้า กัดทันที “เจ้าของรถสปอร์ตราคาหลายๆ ล้านที่เฉี่ยวจักรยานพังๆ ของเราจนตกถนนไง”
ชิษณุพงษ์เดาเรื่องได้นึกขำ “เข้าใจละ กอหญ้าเลยมัวทะเลาะกับเขาอยู่นี่เอง”
อิศรยิ้มชอบใจ แต่กอหญ้าค้อนอิศรแล้วจูงชิษณุพงษ์ออกเดินด้วยท่าทางที่แคร์มากให้ไปนั่งรอข้างจักรยาน
อิศรเดินตามหลัง มองกอหญ้าอย่างอ่อนโยน กอหญ้าจัดที่นั่งให้ชิษณุพงษ์ แล้วหันมาเก็บข้าวของที่ตกกระจาย อิศรมองๆ แล้วเข้ามาช่วย ส่งของให้
“อ่ะ ช่วย”
กอหญ้า แว้ดใส่เสียงเบาๆ “ไม่ต้องมายุ่ง”
อิศรฉุน “เอ๊ะ เธอนี่ เดี๋ยวเหอะ”
กอหญ้า ลอยหน้า สวนเลย “ทำไม”
อิศรจับไหล่กอหญ้าดึงเข้ามาจูบแก้มอย่างรวดเร็ว เป็นการสั่งสอน แล้วยักคิ้วอย่างยั่วเย้า
กอหญ้า โกรธจี๊ดขึ้นมา “ฮึ้ย” กำหมัดซัดอิศรทันที
ทว่าอิศรจับมือกอหญ้าค้างไว้ พร้อมกับดึงจูบแก้มอีกที กอหญ้าปิดหน้าตัวเอง
“อีตาบ้า”
ชิษณุพงษ์นั่งไม่รู้เรื่องอยู่ที่จักรยานร้องเรียก
“กอหญ้า”
อิศรปล่อยกอหญ้า หัวเราะยั่ว แล้วเดินไปที่รถ กอหญ้ามองตามด้วยความแค้น หน้าตาเอาเรื่อง รีบเดินไปที่จักรยาน
กอหญ้า บอกชิษณุพงษ์ “นั่งดีๆ นะ”
“กอหญ้า จะทำอะไรอีกน่ะ”

อิศรกำลังก้าวขึ้นรถ ปิดประตู กอหญ้าปั่นจักรยานเร็วจี๋ผ่านรถอิศร ขว้างหินใส่ไฟหน้ารถแตก แล้วปั่นจักรยานฉิวไปเลย
“เฮ้ย”
อิศรรีบสตาร์ทรถ ขับตาม กอหญ้าหักจักรยานลงข้างทางที่เป็นทางเล็กๆ รถยนต์ลงมาไม่ได้ อิศรโมโหสุดๆ กดแตร เปิดกระจกตะโกนด่า

“ระวังตัวให้ดีนะยัยกอหญ้า ถ้าเจอกันคราวหน้า เธอโดนหนักกว่านี้แน่”
ภายในโบสถ์ เห็นขาเรียวยาวของเด็กสาวคนหนึ่งย่องเข้ามาท่าทีลับๆ ล่อๆ ที่แท้เป็นพเยีย ซึ่งแต่งหน้าแต่งตัวสวยเปรี้ยว มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นปลอดคน จึงค่อยๆ ย่องออกมา พยายามขโมยเงินจากตู้บริจาค แต่บังเอิญมีเสียงคนเดินมา พเยียรีบวางมือท่าทีขัดใจ

เป็นคุณแม่ยุพาที่ยืนมองพเยียหัวจรดเท้าอยู่
“พเยีย” มองดูการแต่งตัว “แต่งตัวแบบนี้ จะไปข้างนอกอีกล่ะซี”
พเยียถอนใจ ท่าทางเซ็งและรำคาญ
“ค่ะ ก็วันนี้วันหยุดนี่คะ คุณแม่”

อ่านละคร แผนรักแผนร้าย ตอนที่ 1 วันที่ 8 ก.พ. 56

ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทประพันธ์ : ไอริณ
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย บทโทรทัศน์ : ทีมเอ็กแซ็กท์
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย กำกับการแสดง : สันต์ ศรีแก้วหล่อ, วรวิทย์ ขัตติยโยธิน
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย แนวละคร : เมโลดราม่า - โรแมนติก
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย ออกอากาศทุกคืนวันพุธ-พฤหัส 20.10 - 21.40 น. ทาง ททบ. 5
ละครเรื่อง แผนรักแผนร้าย เริ่มออกอากาศตอนแรกวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ที่มา manager.co.th